“ปวีณา” เตือนภัยรูปแบบใหม่!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกอุ้มเหยื่อไปสแกนใบหน้าโอนเงินถึงปอยเปต ประเทศกัมพูชา กักขัง ข่มขู่ ซ้อมทำร้ายหากขัดขืน คนไทยตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก เหยื่อสาววัย 29 ปี ชาวจ.เพชรบูรณ์ ร้องขอความช่วยเหลือ หลงเชื่อโฆษณาจากเฟซบุ๊กงานถูกกฎหมาย เงินดีไม่มีจริง สุดท้ายต้องตกเป็นผู้ต้องหา “บัญชีม้า” มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้าน และหากมีหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาสวยก็จะตกเป็นเหยื่อ “บอสคนจีน” จะขยี้กามแลกกับการปล่อยตัว
วันที่ 30 พ.ย.66 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี น.ส.แก้ว (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ชาวจ.เพชรบูรณ์ เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ แจ้งว่า ก่อนหน้านี้หนูไม่มีงานทำ กระทั่งเข้าไปเล่นเฟซบุ๊กเจอโฆษณาชักชวนไปทำงานแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ ที่ปอตเปต ประเทศกัมพูชา งานดี เงินดี ที่พักอยู่อย่างสบาย อาหารพร้อม รายได้ 2-8 หมื่นบาทต่อเดือน เมื่อหลงเชื่อกลับกลายเป็นเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ขณะที่หญิงสาวหน้าตาดีหลายรายที่ตกเป็นเหยื่ออยากกลับบ้านถูกเรียกเงินค่าไถ่ 5 หมื่นบาท เมื่อไม่มีเงินก็ต้องสังเวยกามโดยถูก “บอสคนจีน” ข่มขืนเพื่อแลกกับการได้รับการปล่อยตัวกลับ
น.ส.แก้ว กล่าวว่า หนูเดินทางไปที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 พ.ย.66 ก่อนไปแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ไปเปิดบัญชี 6 ธนาคาร อ้างว่าจะได้เงินพิเศษบัญชีละ 5 พันบาท แต่เมื่อไปกลับถึงถูกกักขังอยู่ในตึกนอนรวมกับคนอื่นๆ กว่า 30 คนในห้องเดียว ถูกยึดโทรศัพท์มือถือ บังคับให้สแกนใบหน้าในแอปพลิเคชั่นธนาคารหลังมีเงินโอนเข้ามา แต่ละวันหนูถูกเรียกไปสแกนใบหน้าวันละหลายรอบมาก พอผ่านไป 14 วัน บัญชีหนูถูกอายัด ทาง “บอสคนจีน” จึงส่งตัวกลับไทยพร้อมยึดโทรศัพทมือถืออไอโฟน มูลค่ากว่า 4 หมื่นบาทไป วันที่ 18 พ.ย.66 เมื่อกลับมาถึงไทยไปบ้านที่จ.เพชรบูรณ์ ตกใจเจอตำรวจสภ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ส่งหมายเรียกมาที่บ้าน ซึ่งตนตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงเงิน 48,000 บาท และเกรงว่าจะมีอีกหลายคดีตามมา
“จากนั้นหนูจึงไปตรวจเช็กแต่ละบัญชีกับธนาคารต่างๆ พบว่ามี 4 บัญชี ที่มียอดเงินโอนเข้าและโอนออกไป บัญชีที่ 1. ยอด 3.2 ล้านบาท, บัญชีที่ 2. ยอด 125,000 บาท, บัญชีที่ 3. ยอด 7.2 ล้านบาท, บัญชีที่ 4. ยอด 8.7 ล้านบาท รวมทั้งหมด 4 บัญชี มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 27 พ.ย.66 หนูจึงได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สภ.ท่าพล จ.เพชรบูรณ์ ก่อนตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ”
นางปวีณา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.66 ก็ได้มีผู้เสียหาย 11 ราย ถูกขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลอกไปทำงานแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า กักขังทำร้าย บังคับให้สแกนใบหน้าโอนเงินในลักษณะเดียวกัน เมื่อบัญชีถูกอายัดก็ถูกส่งกลับมาไทยและถูกดำเนินคดี มูลค่าความเสียหายคนละหลายล้านบาท ซึ่งนางปวีณา ได้พาไปแจ้งความกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ขั้นตอนอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน
สำหรับผู้เสียหายรายนี้ก็เช่นเดียวกัน นางปวีณาได้ประสาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เนื่องจากมีผู้เสียหายติดต่อขอความช่วยเหลือมาอีกหลายราย โดยจะมอบหมายให้ นายเอกภาพ หงสกุล ผู้อำนวยการมูลนิธิปวีณาฯ พาผู้เสียหายไปแจ้งความและให้ข้อมูลกับ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.โกเมน สุภาพ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ตำรวจภูธรภาค 4 รับเรื่อง ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อติดตามกลุ่มขบวนการคอลเซ็นเตอร์ทั้งในและนอกประเทศมาดำเนินคดี
ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ อย่าหลงเชื่อโฆษณางานดี เงินดี ที่ปรากฎอยู่ในโซเชียลเพราะมันไม่มีจริง ขบวนการคอลเซ็นเตอร์จะมีเทคนิคใหม่ๆ มาใช้หลอกเหยื่ออยู่เสมอ หากสนใจจะทำงานที่ถูกกฎหมายสามารถตรวจสอบได้กับกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และมูลนิธิปวีณาฯ ก่อนตัดสินใจจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อถูกกักขังทำร้าย และตกเป็นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดี